วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ღ ความสุขที่แท้ ღ


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...

ความทุกข์ทั้งมวลมีมูลรากมาจากตัณหา อุปาทาน ความทะยานอยาก ดิ้นรน และความยึดมั่นถือมั่นว่า “เป็นเรา เป็นของเรา” รวมถึงความเพลินใจในอารมณ์ต่าง ๆ
สิ่งที่เข้าไปเกาะเกี่ยวยึดถือไว้ “โดยความตน เป็นของตน” ที่จะไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้นั้นเป็นไม่มี หาไม่ได้ในโลกนี้
เมื่อใดบุคคลมาเห็นสักแต่ว่าได้เห็น ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง รู้สักแต่ว่าได้รู้ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ “เพียงสักว่า สักว่า” ไม่หลงไหล พัวพัน มัวเมา เมื่อนั้น จิตก็จะว่าง ว่างจากการยึดถือต่าง ๆ ปลอดโปร่ง แจ่มใส เบิกบานอยู่...



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...
เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือ ความยึดมั่น ถือมั่น เรื่องตัวตนเสีย ด้วยประการละฉะนี้ เธอจะเบาสบาย คลายทุกข์ คลายกังวล
“ไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวาง และการสำรวมตนอยู่ในธรรม”

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...
“ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ” ความสุขชนิดนี้สามารถหาได้ในตัวเรานี้เอง ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย
มนุษย์ได้สรรค์สร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นไว้ เพื่อให้ตัวเองวิ่งตาม แต่ก็ตามไม่เคยทัน
การแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้น เป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อย
เหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการหาปลาเล็ก ๆ เพียงตัวเดียว
มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกิน และเรื่องเกียรติ จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่ง ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือ “ดวงจิตที่ผ่องแผ้ว...”

เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน เรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้
เมื่อมีเกียรติมากขึ้น ภาระที่จะต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้ว
ในหมู่ชนที่เพ่งมองแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น จิตใจของเราเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตา เขามัวแต่บ่นว่า “หนักและเหน็ดเหนื่อย” พร้อม ๆ กันนั้น เขาก็ได้แบกก้อนหิน วิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
คนในโลกส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความกลับกลอก และหลอกลวง หาความจริงไม่ค่อยได้ แม้แต่ในการนับถือศาสนา
ด้วยอาการดังกล่าวนี้ โลกจึงเป็นเหมือนระงมอยู่ด้วยพิษไข้อันเรื้อรังตลอดเวลา
ภายในอาคารมหึมา ประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์ มีลมพัดเย็นสบาย แต่สถานที่เหล่านั้น มักบรรจุเต็มไปด้วยคนซึ่งจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมาก ภาวะอย่างนั้นจะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบอยู่โคนต้นไม้ได้อย่างไร...

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...
การแสวงหาทางออกอย่างพวกเธอนี้ เป็นเรื่องประเสริฐแท้
การแก่งแย่งกันเป็นใหญ่เป็นโตนั้น ในที่สุดทุกคนก็รู้เองว่า เหมือนแย่งกันเข้าไปสู่กองไฟ มีแต่ความรุ่มร้อนกระวนกระวาย
เสนาบดีดื่มน้ำด้วยภาชนะทองคำ กับคนจน ๆ ดื่มน้ำด้วยภาชนะที่ทำด้วยกะลามะพร้าว “เมื่อมีความพอใจ ย่อมมีความสุขเท่ากัน” นี่เป็นข้อยืนยันว่า “ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ”
อย่างพวกเธอ อยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจ แม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้ ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่า
แน่นอนทีเดียว คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น ไม่ใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุข สงบ เยือกเย็น ปราศจากความเร่าร้อน กระวนกระวาย...

 

(พุทธโอวาท ๓ เดือนก่อนปรินิพพาน)


ที่มา : http://portal.in.th/i-dhamma/pages/8400
เครดิตภาพ : Internet

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น