วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

ธรรมชาติมีความเกิดดับเป็นธรรมดา


ธรรมชาติมีความเกิดดับเป็นธรรมดา

นี่คือธรรมชาติ ถ้าไม่สังเกต ไม่พิจารณาดู
จิตก็ถูกอุปาทานยึดเหมาเอาเป็นตัวตน
เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
เป็นเรา เป็นของเราขึ้นมา
ก็เรียกว่า เป็นการหลงผิด เห็นผิด
หลงตลอดไปทุกชาติๆ เรื่อยๆ ไป ก็ไม่พ้นทุกข์

การจะพ้นทุกข์นี่ จะต้องมีปัญญารู้จริง
คือ รู้จักชีวิตตนเองอย่างแท้จริงว่า
มันเป็นเพียงธรรมชาติ
ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา
รู้อย่างแจ่มชัด จึงจะทำลายกิเลสต่างๆ
จะได้พ้นทุกข์ คือ ชีวิตจะได้ไม่ก่อตัวขึ้นมาอีก
ธรรมชาติอันนี้มันจะไม่ก่อตัวขึ้นมาอีก
ถ้ายังมีความไม่รู้ คือ ความหลง ความยึดผิด
เห็นผิดอยู่ มันก็เท่ากับมีเหตุมีปัจจัย
ที่จะทำให้มันก่อตัวขึ้นมา เมื่อก่อตัวขึ้นมาแล้ว
ก็จะทุกข์ คือมันก่อเอาสิ่งที่เป็นทุกข์เกิดขึ้น

ร่างกายทุกส่วนนี้เป็นที่ตั้งของทุกข์
มีกายส่วนไหนก็จะมีความทุกข์ส่วนนั้น
ต้องมีปวด มีเจ็บ มีเมื่อย มีร้อน มีหนาว มีไม่สบาย
ทุกส่วนมันจะสลายตัวอยู่ตลอดเวลา
มีจิตใจก็ต้องเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา
เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส ถ้าพิจารณาจริงๆ
จะเห็นว่ามันเป็นทุกข์
เป็นทุกข์เพราะมันทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้

ฉะนั้น การที่จะเกิดปัญญา
รู้แจ้งเห็นจริง ถอนความยึดถือเป็นสัตว์ บุคคล
ตัวตน เราเขานั้น ก็ต้องมีสติคอยระลึก
คอยพิจารณาสังเกตดูธรรมชาติในตนเองนี้
จนเห็นว่ามันเกิดดับ #ธรรมชาติแต่ละชนิดนี้
จะมีการเกิดแล้วดับไป #เกิดแล้วดับไป
หมดไปๆ #มากมาย
ทุกอย่างมีแต่หมดไปสิ้นไป
ดูไปตรงไหนก็หมดไปสิ้นไป

จึงเกิดปัญญาว่า
ไม่เที่ยง #เป็นทุกข์ #บังคับไม่ได้
มันก็จะทำลายความเป็นตัวตน
ทำลายความยึดถือเป็นเป็นตน
ก็จะเป็นผู้ที่มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ขึ้น
เพราะไม่มีสิ่งอันเป็นที่อาศัยของกิเลสต่างๆ
คือ อวิชชา หรือความไม่รู้
เพราะเมื่อมี อวิชชา ตัณหาก็ตามมา
อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น
กิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด
กิเลสต่างๆ มากมาย มันจะตามมาเป็นขบวน
เพราะความไม่รู้จริงนี่เอง

ถ้าทำลายความไม่รู้ออกไป ก็ไม่มีกิเลสต่างๆ
ที่จะตามเกิดขึ้นมาในจิตใจได้
การที่จะกำจัด อวิชชาความหลงให้หมดสิ้นได้
จำเป็นที่จะต้องฝึกฝน ประพฤติปฏิบัติ


- หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี -

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น