วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

_♠_ ความดับไม่เหลือ_♠_


ความดับไม่เหลือ

โดย...ท่านพุทธทาสภิกขุ



ในเวลาจวนเจียนจะดับจิตนั้นอยากจะกล่าวว่ามันง่าย…เหมือนตกกระไดแล้วพลอยกระโจนมันยาก…อยู่ตรงที่ไม่กล้าพลอยกระโจนในเมื่อพลัดตกกระไดมันจึงเจ็บมากเพราะตกลงมาอย่างไม่เป็นท่าเป็นทางไหนๆ เมื่อร่างกายนี้มันอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้วจิตหรือเจ้าของบ้านก็พลอยกระโจนตามไปเสียด้วยก็แล้วกันให้ปัญญากระจ่างแจ้งขึ้นมาว่าไม่มีอะไรที่น่าจะกลับมาเกิดใหม่ เพื่อเอา เพื่อเป็นเพื่อหวังอะไรอย่างใดต่อไปอีกหยุด สิ้นสุด ปิดฉากสุดท้ายกันเสียทีเพราะไปแตะเข้าที่ไหนมีแต่ทุกข์ทั้งนั้นไม่ว่าจะไปเกิดเป็นอะไรเข้าที่ไหน หรือได้อะไรที่ไหนมาจิตหมดที่หวังหรือความหวังละลายไม่มีที่จอดมันจึงดับไปพร้อมกับกายอย่างไม่มีเชื้อเหลือมาเกิดอีกสิ่งที่เรียกว่าเชื้อ ก็คือความหวัง หรือความอยากหรือความยึดมั่นถือมั่น อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่นเอง



สมมติว่า ถูกควายขวิดจากข้างหลัง หรือรถยนต์ทับหรือตึกพังทับ ถูกลอบยิง หรือถูกระเบิดชนิดไหนก็ตามถ้ามีความรู้สึกเหลืออยู่ แม้สักครึ่งวินาทีก็ตามจงน้อมจิตไปสู่ความดับไม่เหลือหรือทำความดับไม่เหลือเช่นว่านี้ให้แจ่มแจ้งขึ้นในใจเหมือนที่เราเคยฝึกอยู่ทุกค่ำเช้าเข้านอนตื่นขึ้นมาในขณะนั้นทำให้จิตดับไป ก็เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับการ“ตกกระไดพลอยโจน” ไปสู่ความดับไม่มีเชื้อเหลือถ้าหากจิตดับไปเสีย โดยไม่มีเวลาเหลืออยู่สำหรับให้รู้สึกได้ดังนั้นก็แปลว่า ถือเอาความดับไม่เหลือที่เราพิจารณาและมุ่งหมายอยู่เป็นประจำใจทุกค่ำเช้าเข้านอนนั่นเองเป็นพื้นฐานสำหรับการดับไปมันจะเป็นการดับไม่เหลืออยู่ดีไม่เสียท่าเสียทีแต่ประการใด อย่าได้เป็นห่วงเลย




จิตที่มีสติสัมปชัญญะ รู้อยู่ ศึกษาอยู่ที่จิตเป็นจิตที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม และทำจิตให้ผ่องแผ้วจิตชนิดนี้ เป็นจิตที่สามารถรู้สภาพธรรมทั้งปวงตามความเป็นจริงอันเป็นทางสายเดียวที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นได้.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น