การที่เราสามารถสร้างอภัยทานให้เกิดมีขึ้นในตัวได้นั้น ถือเป็นการชำระจิตใจของเราได้เป็นอย่างดี เพราะในแง่ของการปฏิบัติแล้ว ทำได้ยาก หากไม่เคยฝึกฝนให้เป็นปกติวิสัย ถ้าเราไม่รู้จักให้อภัยแล้วยังเก็บความขุ่นข้องหมองใจนั้นไว้ในหัวใจตลอดเวลา นับได้ว่าเรากำลังสร้างความอาฆาตพยาบาทให้มีขึ้นในใจตน ในพระพุทธศาสนาที่เราได้รับการเรียนรู้มานั้น มนุษย์เราไม่ได้เกิดมาแต่เพียงชาตินี้ชาติเดียว กว่าจะมาเป็นตัวเราอย่างในทุกวันนี้ ต้องผ่านมาแล้วไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ขณะเดียวกัน เรื่องของกรรมเวรนั้นก็มีจริง เราจึงต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่า การที่เราไม่ยอมอภัยให้กับใครก็ตามที่ทำไม่ดีกับเรานั้น หมายความว่าเราจะไม่ยอมสิ้นสุดกรรมเวรกับคนคนนั้นหรือ แต่ถ้าเราสามารถอภัยให้เขาได้ กรรมระหว่างเรากับเขาก็จะสิ้นสุดแต่ในเพียงชาตินี้ภพนี้ ส่วนตัวเขานั้น จะคิดเลิกจองเวรกับเราหรือไม่ อันนั้นเป็นเรื่องของเขา เราไปบังคับเขาไม่ได้
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ตรัสไว้ว่า “ โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น “
คัดย่อ: bloggang > พรหมญาณี > อภัยทาน
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=prommayanee&month=08-2010&date=11&group=3&gblog=44
เครดิตภาพ : Google
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น