วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ღ..วิสาขมาส...ตรัสรู้. ღ.


พระโพธิสัตว์ จิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว
น้อมจิตใหญ่ สู่บุพเพนิวาสาฯ
ระลึกชาติ ย้อนหลัง ที่ผ่านมา
คือวิชชา ในปฐมยาม ที่ได้ครอง

กาลเวลา ล่วงสู่ยาม มัชฌิมา
จุตูปปาฯ อุบัติไซร้ ในยามสอง
รู้กำเนิด สรรพสัตว์ ในครรลอง
ทั่วทั้งผอง ในปฐพี นี้ปัญญา

รู้จุติ รู้อุบัติ ที่ซัดส่าย
ที่หลากหลาย ตามวิบาก ที่ส่งหนา
บ้างงดงาม บ้างทราม ตามกรรมพา
ด้วยดวงตา เกินมนุษย์ ปุถุชน

กาลเวลา หมุนต่อไป มิได้หยุด
จิตพิสุทธิ์ บรรลุญาณ ตระการผล
อาสวักขยญาณ ญาณมงคล
หยุดดิ้นรน หยุดก่อ ชาติ ชรา

พระพุทธองค์ ทรงสิ้นแล้ว ซึ่งกิเลส
ตัวต้นเหตุ ก่อไฟ ในตัณหา
ทรงน้อมจิต เพ่งพิศ พิจารณา
จึงทรงพบ สี่สัจจา แก่นสัทธรรม

ในยามสาม ปัจฉิมยาม ตามติดติด
พระผู้พิชิต บรรลุแล้ว สุดทางสัมม์
พระสัมมาสัมโพธิญาณ ของทรงธรรม
ตระการล้ำ ในคืนเพ็ญ เดือนหกวาร

ขออานิสงส์ ท่านผู้อ่าน ที่ตามติด
ให้ดวงจิต ท่านผ่องแผ้ว แก้วสืบสาน
ธุลีที่ นัยนา อยู่ช้านาน
จงถูกผลาญ จางไป ในบัดดล

ขอให้ท่าน เจริญใน พระธัมมา
ขององค์พระ ศาสดา พาสู่ผล
กุสลา ธัมมา บันดาลดล
ให้กุศล พาท่านสู่ ลู่นิพพาน

*****************************
เจริญในธรรมเจ้าค่ะ

ที่มา : Hinghoi Noi
www.facebook.com/home.php

ღ..วิสาขมาส...เข้าสู่รูปฌานก่อนตรัสรู้..ღ


เมื่อร่างกาย สมบูรณ์ ไร้ทุกข์หม่น
กุศลดล สู่สงัด มิซัดส่าย
ลุปฐมฌาน ทุติยฌาน สราญกาย
ตติยฌาน ที่คลาย มวลความทุกข์

เข้าสู่ จตตุตถฌาน ฌานที่สี่
ละยินดี ละยินร้าย ทุกข์และสุข
สติบริสุทธิ์ ในฌาน ที่ปราศทุกข์
ปราศตัณหา ที่คลุก เคล้าในใจ

จิตบริสุทธ์ ผ่องแผ้ว ปราศกิเลส
ที่เป็นเหตุ ก่ออวิชชา พาอนุสัย
ที่นอนเนื่อง กำจัด ขจัดไป
เข้าสู่สาม ญาณใหญ่ ในต่อมา

*****************
เจริญในธรรมเจ้าค่ะ

ที่มา : Hinghoi Noi
www.facebook.com/home.php

ღ..วิสาขมาส...เหตุก่อนกาลตรัสรู้..ღ


กาลเมื่อพระโพธิสัตว์ พินิจเหตุ
ได้สังเกต ทุกรกริยา พาหม่นหมอง
ทั้งร่างกาย จิต ถูก อกุศลครอง
ขาดกำลัง การไตร่ตรอง เพื่อปัญญา


น้อมรำลึก ถึงเมื่อครั้ง ทรงพระเยาว์
ไต้ร่มเงา ไพรพฤกษ์ ตรึกสิกขา
ได้บรรลุ ปฐมฌาน เกิดปัญญา
เห็นมรรคา เพื่อตรัสรู้ สัมโพธิญาณ

ว่าหนทาง ตรัสรู้ อยู่ในสุข
ใช่ความทุกข์ แล้วทิ้งสุข ที่ผสาน
ในดวงจิต เพื่อก่อ ให้เกิดญาณ
ธ กลับมา บริโภคอาหาร บำรุงกาย

เจริญในธรรมเจ้าค่ะ
****************
ที่มา : Hinghoi Noi
www.facebook.com/home.php

ღ..วิสาขมาส... ประสูติ..ღ


คราเมื่อพระโพธิสัตว์เจ้า .... ครรไล
เสด็จจากพระครรภ์ไซร้ ...... เกริกก้อง
เจ็ดวันพระมารดาสิ้นชีพไป่ . อยู่ยั้ง หล้าแล
สู่ดุสิตแดนเทพซร้อง ........ เสกแต้มบรรลือ

คราเมื่อพระโพธิสัตว์เจ้า .... ครรไล
เสด็จจากพระครรภ์ไซร้ ...... เกริกกล้า
พระมารดาบริหารครรภ์ได้ ... ครบทศ- มาสนอ
มิเคลื่อนมิหย่อนล้า .......... ถ้วนครบสิบเดือน

สตรียามคลอดบุตรไซร้ ...... นั่งนอน
กายอยู่บนบรรจถรณ์ ......... ทุกผู้
พระมารดามินั่งนอน .......... ยามประสูติ
อิริยาบทยืนอยู่ ............... นี่นี้ธรรมดา

ยามเมื่อพระโพธิสัตว์ ........ เสด็จลง
มวลเทพเทวาคง ............. รับร่าง
มนุษย์รับตามเทพทรง ....... พระกาย ไว้นา
นี่อีกข้อหนึ่งอ้าง .............. ยามพระประสูติกาล

ก่อนพระบาทสัมผัสพื้น ...... พสุธา
สี่เทพบุตรนำพา .............. เยื้องย่าง
นำพระโพธิสัตว์สู่มารดา ..... แทบบาท ท้าวนา
ทูลให้ยินดีสล้าง .............. ยิ่งแท้ปุญญา

ยามเสด็จจากครรภ์ .......... พระมารดา
สะอาดทั่วทั้งพระกายา ...... ยิ่งแท้
ปราศเสมหะ น้ำ โลหิตา ..... ผ่องแผ้ว
พระโพธิสัตว์สะอาดยิ่งแล้ ... เพริศพริ้งพระกาย

สองธารน้ำหลากจาก ........ เบื้องบน
ทั้งร้อน เย็น เพื่อระคน ...... พรมพร่าง
อุทกกิจเพื่อดล ............... โพธิสัตว์ เจ้านา
อีกทั้งพระผู้สร้าง ............. นี่นี้พระมารดา

ยามพระโพธิสัตว์เจ้า ......... ยืนประทับ
พระบาทเสมอมิสลับ ......... เรียบยิ่ง
เจ็ดก้าวย่างดังสดับ ........... ผินพักตร์ อุดรเฮย
เปล่งวาจามิเกรงกริ่ง .......... ชาตินี้สิ้นพลัน

หมื่นโลกธาตุสั่นสะเทื้อน .... สะเทือนไหว
ทุกหล้าโลกเปิดกว้างให้ ..... เห็นทั่ว
นรกจรดพรหมโลกไซร้ ....... สว่างยิ่ง
ล่วงเทวานุภาพกลั้ว ...........มหาสัตว์อุบัติดล

***************
เจริญในธรรมเจ้าค่ะ

ที่มา : Hinghoi Noi
www.facebook.com/home.php

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ღ..จิตดี..ღ


จิตใจที่ดี ต้องเกิดห้าอย่างนี้เป็นประจำ

เพราะฉะนั้นจึงมีหลักที่แสดงพัฒนาการของจิตใจว่า จิตใจของชาวพุทธ หรือจิตใจที่ดี ต้องมีคุณสมบัติ ๕ อย่าง คือ

๑. มีปราโมทย์ ความร่าเริงเบิกบานใจ
๒. มีปิติ ความอิ่มใจ
๓. มีปัสสัทธิ ความสงบเย็นผ่อนคลาย สบายใจ
๔. มีสุข ความคล่องใจ โปร่งใจ ฉ่ำชื่นรื่นใจ ไม่มีอะไรมาบีบคั้นหรือระคายเคือง
๕. มีสมาธิ ความมีใจแน่วแน่ สงบ มั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่ถูกอารมณ์ต่าง ๆ มารบกวน

ถ้าทำใจให้มีคุณสมบัติ ๕ อย่างนี้ได้ ก็จะเป็นจิตใจที่เจริญงอกงามในธรรม สภาวะจิต
๕ ประการนี้โปรดจำไว้เลยว่าให้มีเป็นประจำ พระพุทธเจ้าตรัสบ่อย ๆ ว่า เมื่อปฏิบัติธรรม
ถูกต้องแล้วพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งคือเกิดสภาพจิต ๕ ประการนี้ ถ้าใครไม่เกิดแสดงว่าการ
ปฏิบัติยังไม่ก้าวหน้า คือต้องมี ๑.ปราโมทย์ ๒.ปีติ ๓. ปัสสัทธิ ๔.สุข ๕. สมาธิ

พอห้าตัวนี้มาแล้วปัญญก็จะผ่องใส แล้วจะคิดจะทำอะไรก็จะเดินหน้าไป ตลอดจนการปฏิบัติธรรมก็จะก้าวไปสู่โพธิญาณได้ด้วยดี

เพราะฉะนั้นในวันเกิดก็ขอให้ได้อย่างน้อย ๒ ประการนี้ คือ เริ่มต้นดี และให้เกิดสิ่งที่ดี
ก็คุ้มเลย ชีวิตจะเจริญงอกงามมีความสุขแน่นอน

จาก หนังสือ เพื่อชีวิตที่ดี ของ พระธรรมปิฏก (ป. อ. ปยุตฺโต)

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ღ..ผู้ฉลาดพึงทำ..ღ


ผู้ฉลาดพึงทำ พึงเป็นผู้ว่าง่าย
อ่อนโยนมีกิจน้อย มีปัญญารักษาตัว
ไม่คะนองไม่ติดในสกุลทั้งหลาย
ไม่พึงทำกรรมชั่วแม้เพียงเล็กน้อย
พึงเป็นผู้มีเมตตาในสัตว์ทั้งหลาย

เมื่อมนุษน์เราได้เกิดมาเสวยชาติเป็นคน
มีความสุขบ้างทุกข์บ้างตามวาระของกรรม
มนุษย์ก็มีกรรมชนิดหนึ่ง ที่พามาให้เป็นเช่นนั้น
ซึ่งล้วนผ่านการกำเนิด มาแล้วจนนับไม่ถ้วน
ให้ตระหนักในกรรมของสัตว์ทั้งหลายว่ามีต่างๆกัน
เพราะฉะนั้นไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามในชาติกำเนิด
ความเป็นอยู่ของกันและกัน และจงสอนให้รู้ด้วยว่า
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมดีกรรมชั่ว เป็นของตนเองทั้งสิ้น

ที่มา : www.facebook.com/jnipawan

ღ..มาลัยชีวิต..ღ


พระพุทธเจ้า ทรงเปรียบการดำเนินชีวิต "ในแต่ละวัน" ของคนเราว่า
“เหมือนกับการเดินเข้าไปใน.. สวนดอกไม้
ที่ดารดาษเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์

บุคคลผู้ฉลาด.. ย่อมเลือกเก็บแต่.. ดอกไม้ที่มีสีสวยและมีกลิ่นหอม
ส่วนคนโง่.. ย่อมเลือกเก็บแต่.. ดอกไม้ที่น่าเกลียดและมีกลิ่นเหม็น
มาร้อยเป็นพวงมาลัย เป็น.. "รางวัลแก่ชีวิตตนเอง”

การมี “หลักในใจ” ที่มั่นคง
ไม่ขึ้น-ลง.. ตามสิ่งที่มากระทบ
จึงเป็นวิธีการป้องกัน ไม่ให้เราตกไปสู่.. อารมณ์ที่ไม่ดีต่างๆ

มีเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิต
หากเราไม่คิด.. ปล่อย.. วาง
เราจะไม่มี “ที่ว่าง” หลงเหลือให้แก่ชีวิตได้เลย

วันนี้.. เราพร้อมจะเก็บดอกไม้หอม
ร้อยเป็นมาลัย.. มาคล้องใจตัวเองหรือยัง

ทีมา : www.facebook.com/jnipawan?ref=ts

ღ..อ่านใจตนเอง..ღ


อ่านใจตนเอง
โดย...ท่าน ก.เขาสวนหลวง

ชัยชนะของผู้ไม่มีตัวตน

จงหมั่นฝึกให้เป็นผู้มีการเสียสละปล่อยวาง รู้จักฝึกให้มีชัยชนะเหนือทุกข์ เหนือกิเลสอยู่เรื่อยๆ ด้วยการไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวในตน เพราะถ้าไม่หมั่นกดหัวกู ตัวกูลงไปบ้างก็จะเดือดร้อนกันจริงๆ

เพราะไม่ว่าใคร ก็มีตัวกูด้วยกันทั้งนั้น แต่ต้องรู้จักข่มขี่ทรมาน ละพยศร้ายของตัวกู

การทำดีทำถูก ให้มันดีมันถูกไปตามธรรมชาติ ไม่ยึดว่าตัวเราดี ตัวเราถูก การยึดถือตัวเราดีนี้ ก่อให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นขึ้นมามากมาย ถ้าตัวดี ตัวเด่นยังตระหง่านอยู่ มันหาเรื่องเก่ง ถ้าไม่ข่มขี่ตัวนี้ลงไปก็ยังเดินไม่ถูกทาง

ที่หลงยึดมั่นถือมั่นเป็นความโง่ ถ้ามีความรู้ถูกต้องขึ้นมา จะเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง

เรื่องดีๆ ชั่วๆ ตัวเรา ตัวเขา ล้วนเป็นของหลอกๆ ถึงเราจะไปหมายอะไรข้างหน้า หรือหมายยึดมั่นในเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว และมาจับปรุงในขณะปัจจุบัน ก็เป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ เหมือนกัน ไม่มีอะไรเป็นตัวจริงเลย ทำไป พูดไป คิดไป ดับเรื่อยไป ไม่มีอะไรเหลือ ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นก็ทุกข์ไปเปล่าๆ

การยกหูชูหาง การต้องการอะไรเพื่อตน ก็เรื่องของกิเลสทั้งนั้น วุ่นวายไปตามอำนาจของความยึดมั่นถือมั่น การทำด้วยความมีตัวตนเข้ามาเกี่ยวข้องมันทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก ทั้งร้อน ทั้งวุ่น

ถ้าทำด้วยจิตที่ว่างจากตัวตน จะได้ความเบา ได้ความสบาย ได้ความเย็น ได้ความสุขหลายอย่าง เป็นการใช้หนี้ธรรมชาติไปในตัว และไม่ต้องการอะไรตอบแทน

ถ้ารู้สึกตัวขึ้นมาได้ จิตใจจะเป็นอิสระ ว่างจากสิ่งรบกวนได้เรื่อยๆ แม้จะมีเครื่องกระทบ ก็ไม่เอาใจใส่ คงเฉยและปล่อยวางออกไปได้ ในที่สุดก็จะเป็นผู้ชนะ

ที่มา : www.board.palungjit.com

ღ..น้ำใต้ดิน..ღ


๏ น้ำใต้ดิน

พระพุทธเจ้าคือพระธรรม แลพระธรรมก็คือพระพุทธเจ้า
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น เป็นธรรมะที่มีอยู่ประจำโลก
ไม่สูญหาย เหมือนกับน้ำที่มีอยู่ในพื้นแผ่นดิน
ผู้ขุดบ่อลงไปให้ถึงน้ำ ก็จะเห็นน้ำ ไม่ใช่ว่าผู้นั้นไปแต่งขึ้น
ทำให้มีน้ำขึ้น บุรุษนั้นลงกำลังขุดบ่อเท่านั้น ให้ลึกไปให้ถึงน้ำ
น้ำก็มีอยู่แล้ว

ฉะนั้น
ถ้าเรามีปัญญาก็จะเห็นได้ว่าเราไม่ได้อยู่ห่างพระพุทธเจ้าเลย
เดี๋ยวนี้เราก็ยังนั่งอยู่ตรงหน้าพระพุทธเจ้า เราเข้าใจธรรมะเมื่อใด
เราก็เห็นพระพุทธเจ้าเมื่อนั้น
ผู้ใดที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน
อยู่ ณ ที่ใด ผู้นั้นย่อมได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าตลอดเวลา

ที่มา : www.dharma-gateway.com

ღ..ชนะใจตนเอง..ღ


วิธีสร้างพลังใจในการเอาชนะใจตนเอง

• รักษาพลังใจของตนเองไว้ ให้คิดว่าพลังใจในตัวเราเป็นทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด ต้องงัดเอามาใช้กับเรื่องสำคัญๆ เท่านั้น
• วางแผน ให้ชัดเจนในเรื่องที่เราอยากทำให้สำเร็จ โดยลงรายละเอียดว่าจะทำอย่างไร ทำเมื่อไร และที่ไหน
• ฟื้นฟูพลังใจ ยามที่กำลังใจเริ่มอ่อนล้าให้หาตัวช่วย เช่น กินขนมเติมพลังยามขับเคี่ยวกับการทำงานให้เสร็จทันเวลา หรือหาเพื่อนดีๆสักคนไว้คอยให้กำลังใจยามท้อแท้
• ฝึกใจให้แกร่ง นักกีฬายังต้องฝึกความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ การสร้างพลังใจก็ต้องอาศัยการฝึกอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน
• ทำให้เป็นนิสัย ทำจนรู้สึกไม่ต้องบังคับ แล้วความสำเร็จจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
• สร้างความหมายพิเศษ แทนที่จะมองว่าการเอาชนะใจตนเองเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ลองตั้งเป้าให้การเอาชนะใจตนเองเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตเป็นพิเศษ ด้วยการนับข้อดีว่าเมื่อทำแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่อะไรตามมาบ้าง
• คิดบวก มองไปที่เป้าหมายด้วยความคิดเชิงบวก เช่น คิดว่า “เราต้องชนะ” แทนที่จะคิดเกรงกลัวต่อความพ่ายแพ้ที่ยังมาไม่ถึง

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า การเอาชนะใจตนเองเป็นความสำเร็จแรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
และจะกลายเป็นฐานนำไปสู่ความสำเร็จอื่นๆ ในชีวิตอีกมากมาย หากเอาชนะใจตนเองได้แล้ว ไม่ว่าเรื่องไหน ๆ ก็ย่อมทำให้สำเร็จได้ทั้งนั้น

ที่มา : www.kanlayanatam.com

ღ..หลุดพ้นจากวัฏสงสาร..ღ


การหลุดพ้นจากวัฏสงสารของชาวพุทธ ทำได้ด้วยการอบรมจิตจนเกิดความรู้แจ้ง เข้าใจโลกและกฎเกณฑ์ของโลกด้วยจิต ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามกฎธรรมชาติคือ

ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน
ทุกสิ่งล้วนเกิดตามเหตุ เมื่อเหตุปัจจัยครบ ผลก็เกิดขึ้น และดับไปด้วยเหตุที่เหมาะสม

ดังนั้นทุกสิ่งล้วนดำเนินไปตามธรรมชาติ คือเกิดขึ้น แล้วดับไป ไม่สามารถควบคุม ครอบครองได้จริงจัง รวมถึงตัวเราเองด้วย

เมื่อจิตเข้าใจถึงที่สุดก็จะหลุดพ้นจากการยึดถือ เป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง ถึงสภาวะที่เที่ยงแท้ ไม่แปรเปลี่ยน จึงไม่มีเหตุให้เกิดอีก โดยมีวิธีการคือ

การถือศีล เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้อยู่อย่างเป็นสุข ไม่ให้ไปเกิดในอบายภูมิ ซึ่งเป็นภพภูมิที่ทำความดีได้ยาก ทำบุญได้ยาก อบรมพัฒนาจิตได้ยาก

ทำสมาธิ เพื่อเป็นการฝึกหัด อบรมจิตให้มีกำลังสามารถเห็น เรียนรู้ การเกิด-ดับ การเป็นไปของสิ่งทั้งปวง

เจริญปัญญา ให้จิตเห็น และเข้าใจ การดำเนินไป และเปลี่ยนแปลง ตามธรรมชาติ เมื่อเข้าใจถึงที่สุด จิตจะหลุดพ้นจากสิ่งทั้งปวง หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

จะเห็นว่าหลักการมีไม่มาก พูดกันก็เหมือนง่าย แต่ว่าในแต่ละขั้นตอนคนส่วนใหญ่ทำได้ยาก แต่ว่าไม่ใช่ทำไม่ได้ ซึ่งในปัจจุบันมีพระ และฆราวาส จำนวนมาก ที่เผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า และแนะนำแนวทางปฏิบัติที่ร่วมสมัยมากขึ้น เรียนรู้ได้ ทำได้ โดยไม่ลำบากมากนัก

ที่มา : www.wimoke.net

ღ..มรดกธรรม ท่าน ก.เขาสวนหลวง..ღ


แนะแนวมอง ด้านใน อ่านใจตน
รู้เหตุผล ถูกผิด คิดแก้ไข

หมั่นเพียรเผา กิเลส เหตุปัจจัย
ซักฟอกไฝ ฝ้ามัว ไม่พัวพัน

รูปธาตุ นามธาตุ อนัตตา
เวทนา สัญญา สังขารขันธ์

ทั้งวิญญาณ จิตใจ นัยเดียวกัน
ที่สุดนั้น ดับไม่เหลือ สิ้นเชื้อไฟ

สภาวะ สงบ ประสบศานติ์
อุบลบาน อาบรด ธรรมสดใส

อริย- มรรคแจ้ง แสงอุทัย
สว่างไสว บริสุทธิ์ วิมุติเอย

มรดกธรรม ท่าน ก. เขาสวนหลวง

ที่มา : www.dharma-gateway.com

ღ..อารมณ์ดี..ღ


อารมณ์ดี และอารมณ์สบาย เป็นอุปกรณ์อย่างสำคัญ
ที่จะทำให้ “สติ” กับ “ความสบาย” ของเราเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนอารมณ์ขุ่นมัว ไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม
ย่อมทำให้ใจเราฟุ้งซ่าน ขุ่นเคือง เร่าร้อน และเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงธรรม
เพราะฉะนั้น ให้รักษาอารมณ์ดีและอารมณ์สบายเอาไว้

จงตั้งพรหมวิหารธรรมขึ้นมาในใจ ให้มีความรู้สึกเป็นมิตร
และปรารถนาดีต่อเพื่อนสหธรรมิกและทุกๆ คน แม้ว่าเพื่อสหธรรมิกนั้น
อาจจะพลาดพลั้งล่วงเกินเรา โดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ให้อภัย ไม่ถือสา
ไม่สนใจในการล่วงเกิน หรือข้อบกพร่องพลาดพลั้งของเพื่อนสหธรรมิก

รักษาอารมณ์ดี อารมณ์สบาย ให้ได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่น
ทั้งนั่งนอนยืนเดิน มีความรู้สึกเป็นมิตรและปรารถนาดีต่อทุกๆ คน แล้วอารมณ์ดี
และอารมณ์สบายที่เรารดน้ำพรวนดินอย่างสม่ำเสมอในจิตใจของเราทุกวันนั้น
จะเป็นเครื่องเกื้อหนุนและสนับสนุนการประพฤติปฏิบัติธรรมให้เราเข้าถึงธรรมได้ง่ายขึ้น

ที่มา : www.kalyanamitra.org

ღ..อย่าทุกข์เพราะสิ่งที่มี..ღ



ღ..กวีธรรมท่านพุทธทาสภิกขุ..ღ



ღ..ขืนทำจะช้ำใจ..ღ



ღ..บาปใหญ่-บาปลึก..ღ



ღ..ความสวัสดีแห่งชีวิต..ღ



ღ..ธรรมชาติและชีวิต..ღ




ღ..ธรรมะท่านว.วชิรเมธี..ღ



วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

♠..ธรรมคำสอนหลวงปู่ฝั้น อาจาโร..♠



ไม่มีตัวตนสัตว์ บุคคล เรา เขา อะไรสักอย่าง เราเพ่งดูสิมัน ไม่มีแก่นสารที่ไหนเลย ถ้าเป็นแก่นสาร ทำไมคนถึงล้มหายตายจาก ถ้าเป็นแก่นสารตัวตนของเรา ทำไมถึงเป็นหวัด เป็นไข้ ทำไมถึงหนาว เป็นร้อน เป็นทุกข์ เป็นร้อน เพราะเหตุนี้ พึงเห็นว่าไม่ใช่ตัวตน

ตาสำหรับเห็นรูป ใจเป็นผู้รู้ว่ารูปดี-รูปชั่ว รูปไม่ดี-รูปไม่ชั่ว แท้ที่จริง รูปทั้งหลายเขาไม่ได้ว่ารูปเขาดี เขาไม่ได้ว่าเขาชั่ว เราเป็นผู้ว่าเอา สมมติเอา



-พระสติ หมายถึงลมหายใจเข้า

- พระวินัย หมายถึงลมหายใจออก

-พระปรมัตถ์ หมายถึงผู้รู้ลมเข้าลมออก