วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556

ღ หยุดดูให้รู้จริง ღ

หยุดดูให้รู้จริง  
โดย... ท่าน ก. เขาสวนหลวง
  
การ ตามรอยพระอรหันต์เป็นของดีที่สุด ต้องสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมจิตให้ครบถ้วน เพราะว่าจิตใจเป็นของที่ต้องพยายามพิจารณาให้มากเป็นพิเศษ การประพฤติปฏิบัติที่จะให้ครบถ้วนตามทำนองคลองธรรมแล้ว เราจะต้องมีการพิจารณาให้ละเอียด ให้รอบคอบเสมอ แล้วจิตจึงจะมีความสงบได้ เรา ต้องพิจารณาดูให้ทั่วถึง ว่ารูปนามขันธ์ ๕ นี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเป็นทุกข์อยู่อย่างไร และบังคับบัญชาไม่ได้ มันเป็นไปในลักษณะที่ว่าไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา อย่างนี้ต้องมีการพิจารณาซ้ำซาก อย่าเอาเรื่องอื่น เพราะว่าวันเวลาของชีวิตก็น้อยแล้ว สั้นแล้ว แล้วจะมามีความประมาทอยู่อย่างไร จะต้องพยายามเสียแต่วันนี้

 ทุก วันเราจะต้องรู้ว่าชีวิตความเป็นอยู่มันมีความรู้อย่างไร มีความยึดถืออะไรหรือเปล่า ต้องพยายาม เพราะว่าการไม่รู้แล้วไปหลงยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเราเป็นของเรามันมากมายมา แล้ว ทีนี้พิจารณาเรื่องนี้ เอาเรื่องนี้ไม่เอาเรื่องอื่นละ เพราะว่าไปเอาเรื่องอะไรต่ออะไรมามากแล้วพาให้จิตฟุ้งซ่าน แล้วก็คิดดูซิว่าการศึกษาธรรมะนั้น ศึกษากันมาแล้วฟังกันมาแล้ว มากมายก่ายกองเยอะแยะแล้ว ทีนี้ต้องปฏิบัติกันจริงๆ ไม่ใช่ฟังแล้วแล้วไป แล้วฟังกันใหม่อีก อ่านกันมากมายมาแล้ว ทีนี้ต้องอ่านจิตใจอยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถดีกว่า แล้วใจจะได้ไม่วุ่น เพราะว่าการปฏิบัติต้องรวมรู้เข้ามาที่จิตใจของตัวเอง อย่าออกไปรู้ข้างนอกให้มากนักเลย มันจะพาหลงจะพาวุ่น ถ้าว่ารวมรู้เข้าม


พิจารณาเรื่องนี้ให้ซ้ำซากมากที่สุด อย่าไปเอาเรื่องอะไรเป็นตัวกู ของกูเลย มันจะเน่าเข้าโลงไปเมื่อไรไม่รู้นะ อย่าไปเที่ยวยึดถือเป็นตัวเรา ของเราอยู่เลย ใช้สติปัญญาปล่อยวางเสียเดี๋ยวนี้ อย่าไปเชื่อตัณหา เพราะว่าตัณหามีมารยาหลายอย่าง มันอยากเอาอะไรหลายๆ อย่าง แล้วอยากเท่าไรก็ทุกข์เท่านั้น อยากมากก็ทุกข์มาก สืบทราบเอาในจิตใจของตัวเองด้วยกันทุกคน ทีนี้จะต้องละตัณหาแล้วนะ คำสอนของพระพุทธเจ้ารวบยอดแล้วบอกให้ละตัณหา หรือว่าคำว่านิพพานนี้ ท่านก็กล่าวว่าการละตัณหา มุ่งนิพพานดีกว่า ละตัณหาดีกว่า อย่าไปเอาเรื่องมากเลย จำไม่ไหวตายเปล่า ถ้าใครเอารวบยอดอย่างนี้แล้วจะดับทุกข์ได้ไปทุกขณะในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปหมายเรื่องอนาคตอะไร อดีตก็ล่วงไปแล้วดูแต่ปัจจุบัน ต้องพูดย้ำๆ กันแต่เรื่องนี้ไม่เอาเรื่องอื่นแล้ว เพราะเรื่องอื่นพาให้วุ่น ไม่ต้องไปเอาเรื่องอดีตอนาคตอะไรมาพูดมาเพ้อกันแล้ว

ถ้ามารวม รู้กันอยู่ที่จิตแล้วมันรู้จักคิดพิจารณาปล่อยวางออกไป พ้นทุกข์เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปพ้นทุกข์เอาพรุ่งนี้มะรืนนี้ สืบทราบเอาเดี๋ยวนี้หลักของสติต้องมีอยู่เดี๋ยวนี้ ควบคุมใจอยู่เดี๋ยวนี้ เรื่องอะไรต่ออะไรดีชั่วกวาดทิ้งไป อย่าไปจำเอามาคิด อย่าไปคิดเรื่องฟุ้งซ่านนะ ถ้าคิดก็คิดเรื่องไม่เที่ยง เป็นทุกข์อยู่กับเนื้อกับตัวนี้ และเรื่องว่ามันเป็นธาตุไปหมดแล้ว มันไม่ใช่ตัวเราของเราแล้ว แล้วนี่ยังมาหลงยึดถืออะไรอยู่ จงหลงไปถึงไหน จะโง่ไปถึงไหน ถามตัวเองเรื่องนี้บ่อยๆ ไม่เอาเรื่องมากแล้วเพราะว่าจิตนี่ ถ้าว่ามันรู้เรื่องเดียว พิจารณาอยู่อย่างนี้แล้ว มันว่างเดี๋ยวนี้ได้ สงบเดี๋ยวนี้ได้ สะอาดเดี๋ยวนี้ได้ แล้วนี่จะไปเอาอะไรที่ไหน ลองสอบดูเดี๋ยวนี้ ในปัจจุบันเดี๋ยวนี้ อย่าไปเอาไปจำเรื่องอะไรมาเลย เรื่องตัวตนอะไรนี่กวาดทิ้งเสีย ปล่อยวางเสียเดี๋ยวนี้ จิตสงบอยู่เดี๋ยวนี้ จิตว่างอยู่เดี๋ยวนี้


นี่ธรรมะมีอานิสงส์อยู่เดี๋ยวนี้ทีเดียว ไม่ไปเอาอานิสงส์ใหญ่ที่ไหนแล้ว รู้จิตอยู่เดี๋ยวนี้ แล้วจิตนี้สงบสะอาดได้เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น สอบอยู่เดี๋ยวนี้ทีเดียว แล้วพิจารณาปล่อยวางได้ทุกขณะไปทั้งหมด ดับทุกข์เดี๋ยวนี้จะดีไหม หรือจะเอาดับทุกข์ที่ไหน จะเอาชาติหน้าชาติโน้นนั่นมันหลงยึดถือไป ก็เดี๋ยวนี้น่ะไม่ดีหรือ พระพุทธเจ้าท่านชี้นิพพานให้ดูว่าให้ดับตัณหาเดี๋ยวนี้ แต่ต้องรู้จักพิจารณาขันธ์ ๕ ว่ารูปไม่เที่ยง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง ก็สวดไปแล้วในทำวัตรนี้ทุกวันๆ เอามาพิจารณาให้รู้เสีย อย่าไปเอาเรื่องมากเลย เอาเรื่องนิดเดียว คือเรื่องไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน พิจารณาให้เห็นอยู่ตลอดเวลาทีเดียว อย่าให้ไปเที่ยวยึดถืออะไรขึ้นมานะ ต้องบอกเอาไว้ ต้องคอยรู้เอาไว้ ต้องคอยปล่อยวางเอาไว้ แล้วจะหนีนิพพานไม่พ้นหรอก เพราะว่ายิ่งปรารถนานิพพานแต่ปากแล้วละก็ยิ่งไกลเชียว ถ้าว่ารู้จิตใจที่คอยปล่อยวางละกิเลสตัณหาอุปาทานอยู่เดี๋ยวนี้ละก็ นิพพานก็มีเดี๋ยวนี้ จะเป็นนิพพานน้อยๆ ไปก่อนก็ได้

ทีนี้เรา ไม่ได้พยายามอย่างนี้ ไม่ได้พิจารณาตัวเองอย่างนี้ เราไปเอาเรื่องอื่นเสียหมด มันก็ยิ่งวุ่น แล้วก็วิ่งไปเอาอะไรต่ออะไรพลุกพล่านไป ไม่พบพระ หลง ทีนี้ต้องหยุดนะ พระอยู่ที่หยุด ไม่ใช่เที่ยววิ่งไป หยุดดู หยุดรู้จิตของตัวเองอยู่เดี๋ยวนี้ หยุดปล่อย หยุดวางอารมณ์อะไรที่เข้าไปปรุงจิตเดี๋ยวนี้ กิเลสประเภทไหนเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ จะต้องดับเดี๋ยวนี้ปล่อยวางเดี๋ยวนี้ เอาเรื่องนี้เรื่องเดียว ถ้าว่าใครรู้โดยเฉพาะทุกขณะไปหมดว่ากิเลสตัณหาเกิดทุกขณะ ดับไปทุกขณะ จะต้องซ้อมอยู่อย่างนี้นะ มีสติรู้อยู่เดี๋ยวนี้ เผลอไปเพลินไปก็กลับมารู้ใหม่ ปล่อยวางใหม่ ไม่เอา เลิก หยุด เราเอาเรื่องนิดเดียวน้อยๆ สั้นๆ จะดีไหม ไม่ต้องพูดคิดรู้เรื่องอื่นเลย รู้เข้ามาในจิตดีกว่า รู้เดี๋ยวนี้ก็หยุดดับได้เดี๋ยวนี้ หยุดเดี๋ยวนี้ก็สงบได้เดี๋ยวนี้ เรื่องอะไรต่ออะไรดับหมดแล้ว ไม่เอาไม่จำเอามาคิด เพราะว่าเรื่องสัพเพเหระนั้นขยันจำขยันคิดกันนัก ทีนี้ไม่เอา กวาดทิ้งๆ อย่าไปเก็บเอามาอีก ถ้าว่าคอยกวาดทิ้ง ปล่อยวางอยู่เรื่อยแล้วจิตนี้ไม่วุ่นเลย ว่างจากกิเลสได้สงบจากกิเลสได้

พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมะอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ต้องไปเอาอะไรที่ไหนเลย ไม่ว่าใครทั้งหมด จะต้องเข้าสู่สภาวะของความดับไม่เหลือ เอาอยู่เรื่องนี้ รู้อยู่เรื่องนี้ อย่าให้มันเกิดเรื่องอะไรต่ออะไรเที่ยวปรุงฟุ้งซ่านไป มันทางของมารของกิเลส ไปไม่ได้เพราะว่าป่ากิเลสมันรกนัก มันเป็นป่าชัฎรกไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นไป เป็นตัวกูของกูอะไรสารพัดอย่าง แล้วต้องพิจารณาให้รู้ด้วยจิตใจจึงจะกวาดทิ้ง ปล่อยวางหมดเลยไม่ว่าจะประจัญหน้าอยู่กับความทุกข์แสบเผ็ดอย่างไร เหมือนกับอยู่ท่ามกลางของกองไฟลุกอยู่รอบด้านก็พิจารณาดูจิตให้ละเอียด จะได้ไม่มีตัวเข้าไปเป็นเจ้าของ รูปนามขันธ์ห้านี้จะต้องแตกดับไปมิวันใดก็วันหนึ่ง หรือว่ามันเกิดดับอยู่เดี๋ยวนี้ พิจารณาปล่อยวางมันเดี๋ยวนี้ แล้วเรื่องทุกข์โทษอะไรสารพัดสารเพจะได้ไม่เข้ามาปรุงจิต เรามีสติปัญญารอบรู้อยู่เดี๋ยวนี้ ถ้าไปอยู่เพลินๆ เผลอๆ แล้วนั่นจะถูกปรุงหมด เจ้าตัณหามันแผ่เข้ามาคลุมหมด ต้องรู้ด้วยสติปัญญาอยู่ข้างใน แล้วตาหูก็อย่าเที่ยวมองหาเรื่องไปเลย เพราะว่ามันต้องมองกลับเข้าข้างใน ถ้าจะมองอะไรก็อย่ามองออกไปหาเรื่อง ให้มันมองอยู่สั้นๆ ให้มีสติในการมอง ให้มีสติในการฟัง ให้มีสติในการดมกลิ่น ลิ้นรู้รส กายได้รับสัมผัส ใจได้รับธรรมารมณ์ ต้องพยายามอย่างยิ่ง มันยากก็ต้องพยายาม ถ้าไม่พยายามแล้วจะยิ่งแย่ บอกอยู่อย่างนี้ สอบได้ในตัวเอง ไม่ใช่ว่ามันยากทำไม่ได้แล้วก็ปล่อยเลยตามเลย ถ้าใครคิดอย่างนี้ก็ตามใจ ปล่อยออกไปโน่น สู่ทะเลโน่น ตายอยู่โน่น แต่นี่มันหยุดได้ สงบได้นะ

อย่า ไปตามใจกิเลสปฏิเสธธรรมะเลย ชอบพูดกันนักว่ายากๆ แล้วที่แย่อยู่ในตัวเองน่ะไม่รู้หรอก รู้แต่ว่ายากเพราะกิเลสมันบอก กิเลสมันหลอก มันบอกว่าอย่าเลยเอามันอยู่อย่างนี้ก็แล้วกัน นี่แหละถูกหลอกโดยกิเลสตัณหาภายในตัวเองทั้งนั้น ไม่ใช่ใครข้างนอกมาหลอก แต่ข้าศึกข้างในนี่แหละหลอก ไม่ว่าเราจะทำความดีอะไรมันก็มาหลอกแล้ว มาชักให้ออกนอกลู่นอกทางไปแล้ว มันขยันทำตามกิเลสตัณหา ทีนี้จะมาเพียรรู้เพียรละกิเลสทั้งหมดแล้ว

นี่เราต้องรู้ความ จริงว่าชีวิตที่ผ่านมาแล้ว กี่สิบปีมาแล้ว แล้วเอาอะไร แล้วมันได้อะไร มันเที่ยงหรือไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุข มันเป็นตัวเราหรือเปล่า สอบได้ถมเถไปไม่ต้องไปสอบอะไรที่ไหนหรอก คำสอนของพระพุทธเจ้ารวบยอดแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรมาก แต่ว่าที่เราเรียนรู้กันมากๆ ก็เพราะว่าไปหลง หลงรู้สึกแต่ว่ารู้ แล้วก็ไม่ได้มาหยุดดูให้รู้จริง แล้วก็เที่ยววิ่งไปเท่านั้นเอง ถ้าว่ารู้จริงแล้วมันหยุดหมดไม่รู้จะวิ่งไปเอาอะไร ไม่รู้ว่าจะวิ่งไปหาอะไรที่ไหน ก็มันอยู่ที่นี่ อยู่ที่ใจนี่ แล้วก็กวาดมันทิ้งดูซิ ปล่อยวางมันออกไปซิ แล้วใจก็สงบสะอาดได้ รู้อย่างนี้จะไม่ดีกว่าหรือ สอบดูนะ กวาดกิเลสทิ้งดับกิเลสทิ้งประพฤติปฏิบัติให้มีศีลครบถ้วน แล้วมีจิตใจให้สงบ มีปัญญารู้จักพิจารณาปล่อยวาง แล้วอย่างนี้ต้องทำเอาเอง ใครเขาจะมาทำให้ได้ พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น แล้วจะต้องพยายามปฏิบัติให้ถูกทาง เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญคือป่ากิเลสมันรก แล้วทีนี้จะถางป่ากิเลสอย่างไร จะขุดรากเหง้าของกิเลสออกมาเผาได้อย่างไร นี่ปล่อยให้กิเลสเผาอยู่โพลงๆ นั้นโง่หรือเปล่า มันทุกข์หรือเปล่า สอบได้ในตัวของตัวเองทั้งหมด

การศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมะไม่ใช่เรื่องมาก ไม่ใช่เรื่องอื่น มันต้องรู้อยู่ข้างใน ต้องปฏิบัติกายวาจาใจให้บริสุทธิ์ครบถ้วนขึ้นมาให้ได้แล้วจะได้ไม่ต้องไป วิ่งหาอาจารย์ที่ไหนหรอก อาจารย์นั้นอยู่ข้างในนี้ แต่ว่าต้องรู้ด้วยสติปัญญา จะได้รู้จักคัดเลือก เปลือกแก่นกะพี้อะไรนี่ต้องรู้ ถ้าไม่รู้แล้วจะเที่ยววิ่งพล่านไปทีเดียว ไม่รู้จะไปหาใครที่ไหนก็ทั้งเนื้อทั้งตัวนี้ก็เป็นเครื่องให้รู้อยู่ ทำไมจะต้องแบกตู้พระไตรปิฎกไปเที่ยวถามเขาว่าจะปฏิบัติอย่างไรจะพิจารณา อย่างไร จะโง่ไปถึงไหน ก็พิจารณาตัวเองอยู่เดี๋ยวนี้ซิ มันไม่ใช่เรื่องข้างนอกเลย พระพุทธเจ้าสอนให้สอบเข้ามาข้างในทั้งหมด แต่เรานี้รู้มากยากนานไปเอง แล้วจะไปโทษใคร ก็โทษตัวโง่ของตัวเองนี่ซิ ถ้ามันฉลาดแล้วมันหยุดดูหยุดรู้ขึ้นมาทีเดียว มันแตกฉานขึ้นมาข้างในทีเดียว ว่ากิเลสเกิดมันร้อนอย่างนี้ ทุกข์อย่างนี้จิตใจเศร้าหมองอยู่อย่างนี้ ต้องปฏิบัติเข้มงวดกวดขันที่จะอดทนต่อสู้ปล่อยวางให้ได้ทีเดียว ต้องเอาเรื่องข้างในตัวเองนี่นะ อย่าไปเที่ยววิ่งหาเรื่องข้างนอกเลย ข้าวของสมบัติพัสถานอะไรอย่าไปยึดถือเลย มันเป็นของกลางอาศัยอยู่ชั่วคราว แล้วร่างกายนี้เป็นของกลางเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ยังปรุงแต่งกันอยู่ ต้องพิจารณาให้รู้เสียนะว่ากายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของของเรา ต้องพิจารณาให้มากๆ เพราะว่าหลงรักมันมานานแล้ว รูปผีเดินได้นี้หลงมานานแล้ว แล้วก็หาเรื่องหลงมาประดับประดาอะไรหลายๆ อย่าง มัวห่วงกายห่วงปากห่วงท้องใหญ่เชียว เดินตามทางของพระไม่ถูกเพราะอย่างนี้เอง มันห่วงตัวนี้เอง ก็ใช้มันตามสมควรก็แล้วกันให้อาหารมันตามสมควรก็แล้วกัน อย่าไปปรนปรือ ไม่เอาความสุขขั้นเนื้อหนังแล้ว เพราะว่าหลงรักมันมามากแล้ว ประคับประคองมันมามากแล้ว จะนั่งทำความสงบก็ไม่ค่อยจะยอมนั่ง ชอบหาเรื่องทำ หาเรื่องวุ่น หาเรื่องวิ่ง แล้วก็ดูซิว่ากิเลสตัณหาทุกประเภทมันมาบังคับเอาอย่างไร เราพิจารณาดูให้ดีๆ นะ จะได้ขับพวกนี้ออกไปเสียที ถ้าขับพวกนี้ออกไป ดับไป ปล่อยไป วางไปแล้ว จิตนี้จะได้ว่างและสงบ...

พระไม่ได้อยู่ข้างนอก อยู่ข้างใน ถ้ากิเลสไม่มีในใจก็เรียกว่าใจพระ ถ้ากิเลสมีขึ้นในใจร้อนขึ้นแล้วมันนรก สอบเอาเอง อย่าไปเอาเรื่องของข้างนอกเลย สอบข้างในดีกว่า ถ้าสอบข้างในมากๆ ความรู้จะแหลมคมขึ้น แล้วจะแทงตลอดเข้าไปสู่พื้นลึกที่มันไม่มีเป็นตัวเป็นตน ไม่มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายโน่น ไปโน่น อย่ามาติดตันอยู่กับรูปนามขันธ์ ๕ นี่เลย อย่าเที่ยวแบกมันนักเลย มันหนัก ปล่อยวางมันแล้วไปสู่สุญญตา หรืออะไรก็เป็นคำสมมติ คือไปสู่สภาวะที่ไม่มีการเกิด ไม่มีการแก่ ไม่มีการเจ็บการตายเป็นอมตธาตุหรือนิพพานธาตุ ขับธาตุกิเลสให้มันดับสลายไป แล้วเหลือนั่นก็เป็นนิพพานธาตุก็แล้วกัน เอาความเข้าใจกันในขั้นนี้ ดีกว่าที่จะไปหลงยึดมั่นถือมั่นอะไรเข้ามามากมายก่ายกอง ไม่เอานะ ปล่อยวางไป เพราะว่ามันไม่มีอะไร จะพิจารณาเดี๋ยวนี้ก็ได้ ใจที่สงบอยู่เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร แล้วเที่ยวไปยึดถือให้มันเป็นทุกข์ขึ้นมาทำไม นี่สอบเดี๋ยวนี้ทุกขณะไปหมดเลย ไม่ต้องไปเอาอะไรที่ไหน ถ้ายิ่งไปเอาอะไรเข้ามามากๆ แล้วจิตนี้มันวุ่น ไปจำไปคิดไปอะไร ไปเที่ยวหาเรื่องวุ่นเข้ามาทำให้จิตใจของตัวเองไม่สงบแล้วมันเป็นทุกข์หรือ เปล่า


ถ้ารู้รวบยอดเข้ามาอย่างนี้ได้แล้วละก็ นั่นแหละมันมีทางแล้วไปถูกทาง เพราะว่าเข้ารกนั้นเข้ามามากแล้ว ทีนี้ขุดถางเผาเรื่อยไป แล้วทางก็โล่ง เปิดโล่งไม่มีอะไรเลย ถ้าว่าเรารู้จักปล่อยวางแล้วก็ประจัญหน้าอยู่กับความว่าง เพราะว่าจิตนี้เมื่อไม่ยึดถือแล้วไม่มีเรื่อง แต่นี่มันโง่ไปเที่ยวยึดถือมาเท่านั้นเอง ทีนี้เราต้องรู้จักใช้มัน ทางอายตนะผัสสะนี่ก็ใช้มันตามสมควร เช่นตาเห็นรูป หูฟังอะไรนี่ใช้มันตามสมควร แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ย้ำอยู่เรื่องนี้ สอบกันอย่างนี้ให้ถี่ยิบทีเดียว อย่าไปเอาเรื่องอะไรมาสอบ มาจำ มาคิด มาพูดเพ้อเลย บอกว่าหยุดเสีย วันนี้จะถืออุโบสถให้ครบถ้วน ท่านทั้งหลายต้องหยุดหมดนะ หยุดจำ หยุดคิด หยุดพูด อะไรต่ออะไรนี่หยุดหมดเลย แล้วปิดประตูดูข้างในนิ่งเงียบกริบอยู่ทุกคนแล้วจะพบมรรค พบพระ พบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ภายในจิต ข้างนอกนั้นพบมามากแล้ว ทีนี้พบข้างในเสียที

ถ้า ว่าเราพยายามกันให้ดีแล้ว เรื่องของการปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องมากเลย ไม่มีหัวข้ออะไรมากเลย มันนิดเดียวเท่านี้เอง รู้เข้ามาในรูปนามขันธ์ ๕ พิจารณาว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา ไม่มีแก่นสาร เรารู้ความจริงได้อย่างนี้แล้ว โลกทั้งหลายมันไร้ความหมายหมด หรือว่าไฟบรรลัยกัลป์มันกำลังลุกมาก็ไร้ความหมาย เพราะว่ามันเป็นของธรรมดา ปล่อยวางอย่างเดียว เราปล่อยวางอย่างเดียวแล้วจิตจะอยู่ในความสงบระงับมากขึ้นเป็นพิเศษ อะไรที่มันก่อเกิดขึ้นมาเราก็พิจารณาได้มันเรื่องง่ายๆ มันเรื่องบอกกันอย่างนี้ ที่บอกเรื่องราวมากมายก่ายกองอะไรนั้นไม่เอาหรอก อย่าไปเอาใจใส่ บอกว่าอยู่ข้างใน รู้อยู่ข้างใน พิจารณาปล่อยวางอยู่เดี๋ยวนี้ เห็นจิตใจของตัวเองหรือยัง? สงบไหม? นี่ต้องสอบเอาเองอย่างนี้นะ อย่าต้องไปเอาเรื่องมากเลยมันจะพาวุ่น ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาให้เห็นแจ้งในความไม่เที่ยงจริง เป็นทุกข์จริง ไม่ใช่เป็นตัวเราของเราจริง แล้วก็จะพยายามไปจนตลอดเวลาที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่ เรื่องอะไรที่จะเข้าไปเกี่ยวข้อง ต้องเกี่ยวข้องด้วยความฉลาด อย่าไปเกี่ยวข้องด้วยความโง่ความหลง ที่จะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเราของเราแล้ว นั่นแหละโง่และทุกข์ด้วย ความทุกข์นี่เกิดขึ้นในจิตนี้มาจากความไม่รู้ แล้วตัณหามันมาปรุงจิตให้ดิ้นรน ให้อยากเอาอะไรต่ออะไรอยากเป็นอะไรก็สุดแท้เถอะ มันเข้ามาปรุงจิตให้วุ่นทั้งนั้น สังเกตดูให้ดีแล้วเราดับมันได้ ดับมันแล้วถึงมันจะเกิดมาอีก เราก็ดับมันอีก ซ้อมเอาไว้อย่างนี้ก็แล้วกัน เพราะว่ามันยังไม่ถึงที่สุดหรือสิ้นเชื้อไปทีเดียว ที่มันดับไปชั่วขณะชั่วคราวอะไรนี่ เราก็สังเกตได้ว่าดับหรือปล่อยวางนี่เอง มันไม่วุ่น มันสงบได้



เราสังเกตให้ใกล้ชิดภายในจิตของเราเองเท่านั้น ทีหลังเราจะฉลาดขึ้น แล้วคอยมีสติควบคุมเอาไว้ให้มาก ความเผลอเพลินจะได้น้อยลง ต้องรู้อย่างนี้ แนวทางของการปฏิบัติมันอยู่อย่างนี้ ถ้าเราไม่เอาเรื่องมากแล้วจิตของเราจะสงบได้ สงบแล้วจะพิจารณาอะไรก็เห็นชัดในความเกิดดับว่ากิเลสตัณหามายาทุกชนิด ไม่ว่าอย่างหยาบอย่างกลางอย่างละเอียด โผล่ขึ้นมาปรุงจิตขณะไหนก็รู้ให้เท่าทันเอาไว้ทันที ปล่อยมันทันทีแล้วก็ดูจิตในจิตอยู่เป็นประจำ ก็เท่ากับว่าเรามีเครื่องมือมีความรู้สำหรับพิจารณาปล่อยวาง

เราต้องทำเอาเอง ต้องพยายามอย่างยิ่ง จะไปว่ารู้แล้วๆ เพราะถูกหลอกจากพวกสัญญา ที่จะคิดเข้ามาพาจิตให้วุ่นไม่เอานะ หยุด แต่ ว่าถ้าจะใช้สัญญาในอนิจจสัญญาหรืออนัตตสัญญา คือว่าสัญญาในความไม่เที่ยง สัญญาในความไม่มีตัวตนอย่างนี้ เอาไปใช้ได้ แต่ถ้าว่ามันมีสัญญษในความจำหมายในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรสอะไรที่มันเคยหลงเสน่ห์ของมารมาละก็ ให้สัญญาอย่างนั้นล้มละลายหมด ปล่อยวางหมด ดับไปทีเดียว แล้วเข้ามาทำในใจอยู่แต่เรื่องนี้ ให้เป็นสัญญาของความไม่เที่ยง ความไม่มีตัวตน มามีสัญญาอยู่แต่อย่างนี้ก็ได้ แล้วพิจารณาประกอบทำสัญญาให้เป็นปัญญาขึ้นมาได้ ทีนี้เราไม่ได้มาซ้ำซากอยู่กับสัญญาที่เป็นประโยชน์ ไปซ้ำซากอยู่กับสัญญาของความหลง หลงว่าเที่ยงสุขตัวตนอะไรสารพัดอย่าง เราไปมีสัญญาอย่างนั้นเสียหมด ไม่ฝึกหัดทำสัญญาในเรื่องความไม่เที่ยง ความไม่มีตัวตนอย่างนี้ นี่ต้องพยายามกลับสัญญาเสีย กลับสัญญาผิดๆ มาเป็นสัญญาถูกไปก่อน สัญญาถูกนี้มันมารู้อยู่ที่จิตทีเดียว แล้วก็พิจารณาสัญญาโดยความเป็นอนัตตา โดยความที่ไม่มีตัวตน มันเกิดดับแล้วปัญญาจึงจะเกิด การไม่พิจารณาปัญญาก็ไม่เกิด ขั้นโยนิโสมนสิการก็เหมือนกัน ต้องทำในใจให้แยบคาย พิจารณาอะไรจึงจะแจ้ง แล้วปัญญาจะเกิดญาณจะเกิด เราถูกปกคลุมหุ้มห่อมาด้วยโมหะอวิชชาทั้งนั้น ถ้าไม่พยายามอย่างนี้แล้วก็มืดตื๋ออยู่อย่างนี้ ไม่มืดเปล่าเท่านั้นยังร้อนแล้วร้อนอีกด้วย เศร้าหมองไปในอารมณ์ต่างๆ ที่ไปหลงยึดมั่นถือมั่นขึ้นมามันก็เป็นของเกิดๆ ดับๆ ดูให้ดีมันเกิดๆ - ดับๆ แต่ว่าไปยึดมั่นถือมั่นเอาจริงเอาจังกับมันเข้า แล้วมันก็ร้อนรนทนทุกข์ไปเท่านั้นเอง

 ถ้าว่ารู้อยู่ว่าเดี๋ยวนี้ทุกขณะเกิดดับไม่มีอะไร รู้อยู่อย่างนี้เอาไว้แล้วมันจะตัดสันตติที่มันเป็นกระแสของสังขารปรุง ปรุงเป็นคุ้งเป็นแควไปทีเดียว ถ้าไม่หยุดแล้วไม่รู้หรอก ปรุงดีปรุงชั่ว สัญญาก็เหมือนกัน จำดีจำชั่ว แล้วสังขารก็ปรุงดีปรุงชั่ว ยั่วจิตวิญญาณให้มีความวุ่น มีความเศร้าหมองไปในลักษณะต่างๆ นี่เราต้องพิจารณาให้ละเอียด อย่าไปเอาหลักเกณฑ์อะไรมาสอบ เพราะสอบมามากแล้ว สอบเข้าไปในจิตนี่นะว่าเผลอสติแล้วเป็นอย่างไร ไปยึดถืออะไรขึ้นมาแล้วความปรุงอะไรมันเกิดขึ้นมาอย่างไร หมั่นสอบจิตอยู่เสมอ อย่าไปมีความประมาทเลย วันเวลาของชีวิตนี้จะต้องตื่นจากหลับ ถ้าจะมัวหลับใหลอยู่ไม่ได้เรื่องนะ ตายเมื่อไรไม่รู้ แล้วใครจะมาแก้ให้ลองคิดดูซิ เดี๋ยวนี้ก็แก้ได้รู้ได้ด้วยกันทุกคนแล้วจะไปรอเมื่อไร อย่าไปผัดเพี้ยนเลย ความทุกข์มันรุกเข้ามาทั้งภายในและภายนอก แล้วจะมาทำเพลิดเพลินอยู่ไม่ได้ ต้องแหวกว่ายตะเกียกตะกายออกไปให้พ้นจากฝั่งทางนี้ไปฝั่งทางโน้นไม่วุ่น ส่วนฝั่งทางนี้มันวุ่น เราพิจารณาดู น้อมจิตไปดูความดับไม่เหลือดีกว่า ความว่างจากตัวตนดีกว่า ไม่มีตัวเราตัวเขาของเราของเขาอะไร นี่ชุลมุนวุ่นวายกันอยู่นักฝั่งทางนี้น่ะ อยู่กันมานานแล้วรู้รสมันแล้วจะเอาอะไรไปข้างไหนกัน มันมีตัวกูของกูที่ไหนกัน เราซักฟอกตัวเราเองให้กระจ่างแจ้งแล้วจะได้ปล่อยวาง ต้องเอาเรื่องนี้นะมันจืดจางไปเรื่อยเชียว พิจารณาดูตัวเองอยู่อย่างนี้ว่าขันธ์ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ต้องพิจารณาอยู่อย่างนี้ แล้วจิตจะไม่ยึดมั่นถือมั่น ในบางขณะที่เผลอแล้วไปยึดมันก็รู้ พอรู้แล้วก็ปล่อยเหมือนกับจับไฟพอร้อนก็ปล่อย พอรู้บ่อยๆ เข้าพอจะยื่นไปจับไฟอีกก็หดกลับ ยังไม่ทันจับก็รู้แล้วจึงหดกลับ

จิตนี้ต้องดูมันให้ละเอียด ถ้าไม่ดู ทำเผลอๆ เพลินๆ ไปอย่างนี้ไม่มีวันรู้หยุดหรอก ถูกฉุดรอบด้านไปทั้งนั้นเลย แล้วมันก็มีอำนาจเข้ามาปรุงแต่งจิตให้ดิ้นรนเร่าร้อนกระวนกระวายไปมากมาย เท่าไร ต้องฝึกความเด็ดขาดกับมันเสียบ้างนะ แล้วเรื่องข้างนอกที่เป็นของกูๆ นั้นสละเสีย ถ้าไม่เสียสละแล้วนี้มันตัวร้าย นั่นก็ของกูนี่ก็ของกู กิเลสนี่จะไปเชื่อมันไม่ได้ บอกว่าไม่ใช่ของกูเป็นของกลาง ถ้าใครรู้อย่างนี้ได้แล้วตัวกูของกูจะหมดฤทธิ์ไปทุกทีทีเดียว จะจืดจางว่างเปล่าไปทุกที ขณะไหนที่เผลอไผลไปยึดถือเป็นตัวกูของกูมันก็วุ่นร้อนมันทุกข์ ทีนี้พิจารณากลับหมดเลยไม่มีแล้วตัวกูของกูไม่มี ว่างๆ ว่างจากตัวตนๆ เอามันให้ถี่ยิบไปทีเดียวแล้วจะพบเข้ากับนิพพาน คือความดับกิเลสตัณหาได้ไม่ว่าขณะไหน พบพระนิพพานอย่างนี้เล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ เพราะว่าจะตัดให้เด็ดขาดไปทีเดียวมันยังไม่ขาด แต่ถ้าเด็ดมันบ่อยๆ แล้วมันก็ขาดไปเองแหละ มันลึก ต้องขุดต้องค้น เราก็พยายามขุดค้น รู้เข้าไปๆ ละเข้าไป ปล่อยเข้าไป ว่างเข้าไป แล้วมันก็มีทาง

ที่เราไม่ ได้มองเข้าไปข้างใน เพราะว่าพวกนี้มันเข้ามาปรุงจิตเสียหมดมันก็เลยวุ่นๆ วายๆ ไม่ได้รู้เข้าไปข้างในว่ามันเกิดดับหมด เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องตัว เรื่องตนที่ออกโรงแสดงละครชีวิตมามากนัก เชื่อมันไม่ได้แล้ว เลิกเล่นละครกันเสียที ปิดฉากกันเสียที ฉากปรุงฉากคิดดีๆ ชั่วๆ ดับสลายหมดไม่มีอะไร แล้วจึงจะรู้ว่าสัจจธรรมเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ สัจจธรรมเท่านั้นที่ไม่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเลย ไม่มีกิเลสตัณหาเลย เข้าไปมองภาวะอย่างนี้ภายในโน่น ให้เข้าไปรู้แนวทางที่จะไปสู่สุญญตา คือความว่างจากตัวตนๆ โดยธรรมชาติให้ปรากฏชัดอยู่ให้ได้ทุกขณะเถิด...


ที่มา :  http://goldfish.wimutti.net/a_ko/10.html
เครดิตภาพ : Internet




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น